เรียนภาษา
วันนี้พี่ๆ Mango จะกลับมาเล่าเรื่องและแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับ “โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษ” ค่ะ เพราะในปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สำคัญมากๆ ในโลกของการสื่อสารในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้น้องๆ บางคนอยากพัฒนาภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมของเจ้าของภาษาและเรียนภาษาอังกฤษฉบับ British English นอกจากนี้ก็จะได้ซึมซับวัฒนธรรมฉบับอังกฤษอีกด้วยค่ะ
ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่าเป็นสถานการณ์ที่น้องๆ ส่วนมากประสบปัญหาว่า “เอ… แล้วแบบนี้เราควรไปเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดีนะ ระหว่างในตัวลอนดอนหรือว่านอกเมืองลอนดอน” ด้วยความที่น้องๆ หลายคนยังไม่เคยไปและยังไม่แน่ใจในตัวเองด้วยว่า Lifestyle ของน้องๆ เหมาะกับการอยู่ในเมืองแบบไหนมากกว่ากัน และเป็นคำถามที่น้องๆ หลายคนสงสัยกันมากๆ ก่อนตัดสินใจเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ
วันนี้พี่ๆ เลยจะมาแชร์ 5 ปัจจัยที่สำคัญต่อการเลือกเรียนภาษาในประเทศอังกฤษค่ะ
1. Budget หรืองบประมาณ
ในลอนดอน
ด้วยความที่ลอนดอนเป็นเมืองหลวง ลักษณะหมือนกรุงเทพฯ ทุกอย่างจะแพงกว่าเมืองอื่นของประเทศประเทศอังกฤษ diversity ของคนก็คือจะมีหลากหลายสัญชาติมากค่ะ ทั้งเอเชียน, ยุโรป, อินเดียน, ละติน, คนผิวสีและอีกมากมายหลายเชื้อชาติ พอพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเรามาดูกันค่ะว่า การไปเรียนภาษาที่ลอนดอนต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง ประมาณเท่าไหร่
- ค่าเรียนของโรงเรียนสอนภาษาในลอนดอน จะมีราคาสูงกว่าเมืองด้านนอกลอนดอนเล็กน้อย ราคาอยู่ที่ประมาณอาทิตย์ละ 250-350 ปอนด์
- ค่า Host Family หรือ Accommodation อยู่ที่โซนที่น้องๆ เลือกค่ะ โดยปกติทางโรงเรียนจะมี options ให้น้องๆ เลือกโซนที่ต้องการให้โรงเรียนจัดหาที่พักให้อยู่แล้วค่ะ (ราคาลดหลั่นกันไปตามโซนค่ะ) โดยโซน 1 จะเป็นโซนที่แพงที่สุด (ค่าที่พักอาจทะลุถึง 44,000 บาทต่อเดือนได้เลยค่ะ หรือ ประมาณ 255 ปอนด์/สัปดาห์หรือ 1,020 ปอนด์/เดือน) ส่วนโซน 2-3 ก็จะราคาปานกลาง ถูกกว่าโซน 1 หน่อย ใช้เวลาเดินทางแบบสมเหตุสมผลค่ะ (ประมาณ 15-30 นาที) ไม่ไกลเกินไปและก็ไม่ใกล้เกินไป ส่วนโซน 4-5 จะถูกลงมามากค่ะ แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 50-60 นาทีในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (underground หรือ bus แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ) ก็คือเสียค่าใช้จ่ายถูกลง แต่เสียเวลาเพิ่มขึ้นค่ะ เหมาะกับสายชิลชอบนั่งรถไฟเล่นดูวิว ลักษณะของที่พัก มีทั้งพักกับ Host Family หรือ Student Residence ค่ะ
ปล. อย่างที่บอกไปว่าลอนดอนมีหลากหลายเชื้อชาติมาก ๆ น้อง ๆ ไม่สามารถขอให้ทางโรงเรียนจัดหาได้ โดยระบุความต้องการพิเศษว่า “ไม่เอาคนเชื้อชาติ…” ไม่ได้นะคะ เพราะเรื่องเชื้อชาติและวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ และการทำแบบนี้ถือว่าเป็น racism อย่างหนึ่งอีกด้วยค่ะ ต้อง respect ความต่างด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมด้วยนะคะ ต้อง open-minded เพื่อที่จะรับประสบการณ์ cultural immersion แบบเต็มที่นะคะ
- ค่าครองชีพโดยรวม (living expense) จะสูงกว่าเมืองอื่น ๆ เพราะเป็นเมืองหลวง และมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือน ยกตัวอย่างเช่น ค่าอาหารจานเดียวจะแพงกว่ามาก โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 12-15 ปอนด์ค่ะ (ประมาณ 530-620 บาท) แล้วแต่ว่าเป็นอาหารประเทศอะไร อย่างอาหารไทยตอนนั้นที่พี่ ๆ ของทาง Mango ไปสำรวจ มีร้านอาหารไทยจะเริ่มต้นที่ราคา 13.50 ปอนด์ค่ะ แต่ด้วยความที่ราคาสูงกว่าก็จะมีตัวเลือกให้เลือกเยอะกว่าด้วยค่ะ อย่างเรื่องความหลากหลาย (diversity) จะมีมากกว่า เหมาะกับคนที่ชอบลองอะไรใหม่ ๆ แบบว่าเปิดโลกโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินค่ะ
- ค่าโดยสารสาธารณะ เมืองหลวงมักจะมีระบบขนส่งที่ทันสมัย รวดเร็วและมีตารางรอบที่เยอะกว่าค่ะ ปกติถ้าเรียนในลอนดอน น้อง ๆ จะใช้บัตรโดยสารที่เรียกว่า Oyster Card ค่ะ ทางพี่ ๆ ขอยกตัวอย่างการเดินทางด้วย tube จาก zone 4 ไป zone 1 ด้วยราคานักเรียนที่อายุ 18+ ค่าเดินทางรายเดือนจะอยู่ที่ 142.90 ปอนด์ (ประมาณ 6,250 บาท) ค่ะ น้อง ๆ อาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ ตั้ง 6,000 กว่าบาท เพิ่มเงินไปอยู่โซนอื่นเลยไม่ดีกว่าหรอ คือแบบนี้นะคะ ถ้าสมมุติว่าอยู่โซน 4-5 ค่าที่พักประมาณ 20,000-25,000 บาทต่อเดือนบวกค่าเดินทาง 6,000 ก็จะตกที่ประมาณ 31,0000 บาท ต่างจากการพักในโซน 1-2 ยังไงก็ทะลุ 40,000 บาท เท่ากับประหยัดไปได้เกือบหมื่นเลยค่ะ เรื่องตารางเวลาเป๊ะ ๆ สามารถเช็คแบบ real time ได้ที่เว็บ https://www.nationalrail.co.uk/ เลยค่ะ
นอกลอนดอน
ขึ้นอยู่กับเมืองที่น้องๆ สนใจเลยค่ะ เมืองฮิตๆ ก็มักจะเป็น Cambridge, Oxford, Brighton เป็นต้น
- ค่าเรียน ไม่ได้ต่างอะไรกันมากในแต่ละเมือง แต่ที่แน่ๆ คือถูกกว่าในลอนดอนเล็กน้อยค่ะ
- ค่า Host Family หรือ Accommodation ค่าที่พักจะถูกลงมาหน่อย แต่ส่วนมากจะได้พักเป็น Host Family ราคา 180 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ขึ้นไป บางโรงเรียนอาจจะมี Student Residence ให้เลือกค่ะ (แต่ก็ค่อนข้าง rare พอสมควรเลย) Host ส่วนใหญ่จะเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบ บางบ้านอนุญาตให้อาบน้ำได้เพียง 1 ครั้งต่อวัน
- ค่าครองชีพโดยรวม จะถูกลงมามากค่ะ เช่น อยากทานร้านอาหารไทย บางทีมีโปรโมชั่น Lunch Menu อาจลงมาถึง 7-9 ปอนด์ได้เลยค่ะ (310-400 บาท) อาหารตัวเลือกด้านความหลากหลายจะไม่ได้มีเท่าลอนดอนนะคะ เช่น ลอนดอนมีอาหารไทยหลัก 30+ ร้าน แต่ในเมืองอื่น ๆ จะมีแค่ 1-3 ร้านค่ะ เมืองไหนฮิต ๆ หน่อยมากสุด (แบบที่สุดเลยนะ) ก็แค่ 10 ร้านค่ะ ส่วนมากจะเป็นอาหาร local อาจจะเป็นพวก Sunday roast (Yorkshire pudding ราดเกรวี่คืออร่อยมากค่ะ น้อง ๆ ห้ามพลาดกันเลยนะคะ), fish and chips หรือ English breakfast พร้อม Black pudding (ไส้กรอกสีดำ ๆ เพราะทำจากเลือดและไขมันค่ะ) หรือพวกอาหารอิตาเลียนแบบ Risotto, Pizza เป็นต้นค่ะ
Tips: ใครอยากซื้อขนม น้ำ ของใช้ที่ไม่ต้องแพงมาก พี่ ๆ แนะนำให้วิ่งเข้า Poundland กับ Pound World เลยจ้าาาา ของส่วนมากถูกกว่า Tesco แต่ถ้าอยากเอาความหลากหลายด้านอาหาร ราคาใช้ได้ รสชาติไม่ผิดหวัง Marks and Spencer Food Hall คือเริ่ดมากกก
- ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าโดยสารจะถูกลงมาหน่อยค่ะ ถ้าโดยสารด้วย bus ด้วยความที่บางเมืองค่อนข้างเล็ก bus จะไม่ได้วิ่ง route ที่ไกลมากค่ะ ตอนไปถึงโฮสต์จะสอนขึ้นบัสว่าป้ายของบ้านอยู่ไหน ต้องขึ้นสายอะไรบ้าง และมากี่โมง อย่างเช่นตอนนั้นที่พี่ ๆ ไป survey Canterbury ค่าบัสแบบเที่ยวเดียวอยู่ที่ประมาณ 87 บาทค่ะ (ประมาณเกือบ ๆ 1.99 ปอนด์) แต่ว่าบางโรงเรียนจะมีรถรับส่งน้อง ๆ ฟรีระหว่างป้ายแถวบ้านโฮสต์กับโรงเรียนนะคะ แต่ต้องมาให้ทันเวลาค่ะ ไม่งั้นถ้าตกรถแล้วจะต้องไปกับ bus สาธารณะเองค่ะ
สรุปง่าย ๆ ก็คือในลอนดอนมีความเป็น International มากกว่า เหมาะกับคนที่ชอบเรียนรู้วัฒนธรรมแบบหลากหลายมาก ๆ กับความเป็นอังกฤษ (ที่น้อยกว่าความเป็นนานาชาติ) และมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ไปมากกว่า ใครชอบ museum หรือสาย arts และต้องการหา inspiration ใหม่ ๆ ในลอนดอนมี museums เยอะมาก ๆ เลยค่ะ ส่วนนอกลอนดอนเหมาะกับคนที่อยากสัมผัสความเป็นอังกฤษมากกว่าทั้งด้านผู้คนและวัฒนธรรม และอยากสัมผัสความเป็น local จริง ๆ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ทั้งในตัวเมืองหรือเมืองใกล้เคียงก็จะเยอะกว่าค่ะ
2. Lifestyle เลือกไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับบุคลิกและลักษณะของน้อง ๆ นะคะ
ให้น้อง ๆ ลองสังเกตตัวเองค่ะว่าชอบไปเที่ยวในเมืองหรือนอกเมืองมากกว่า และแบบไหนที่อยู่ได้ไม่มีเบื่อนั่นเองค่ะ
ในลอนดอน
- เหมาะกับคนที่ชอบบรรยากาศเมืองหลวง เมืองใหญ่ มีแสงสีเยอะ ๆ มีที่เที่ยวเยอะและหลายรูปแบบ มีที่ shopping เยอะ เช่น Covent Garden, Soho, Oxford Street เป็นต้น หรือคนที่ชอบท่องเที่ยวสายพิพิธภัณฑ์แบบ British Museum, V&A, Science Museum ค่ะ ส่วน Big Ben, Westminster Abbey, London Eye นั้นเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดอยู่แล้วค่ะ แต่ต้องยอมรับนะคะว่ามันจะมีความวุ่นวายสูงมาก ๆ คนเร่งรีบไปหมด รีบตลอดเวลา และแออัดมากโดยเฉพาะช่วงเช้าก่อนเริ่มงาน ช่วงเที่ยงที่พักทางข้าว และช่วงเย็นที่เลิกงานหรือเลิกเรียนค่ะ บางทีมองไปรอบ ๆ ก็แอบรู้สึกเหนื่อยเหมือนกันค่ะ ตอนเช้าอาจต้องเผื่อเวลาเยอะหน่อย เพราะถ้าระบบขนส่งแออัดมาก ๆ บางทีก็จะขึ้นไปไม่ได้ อาจจะต้องรอรอบถัดไปด้วยค่ะ
นอกลอนดอน
- อันนี้ชีวิตจะมีความ slow life และ chill vibes มากกว่าค่ะ คนจะเป็นมิตรมากกว่าด้วย แถมไม่ต้องตื่นเช้ามาก ตื่นเช้ามารับอากาศดี ๆ มีความแสงแดดอ่อน ๆ มีหมอกลง foggy หน่อย ๆ แล้วค่อย ๆ เดินไปรอ bus ที่ป้าย พวกแสงสีจะไม่เยอะเท่าลอนดอน คือมีมั้ย ก็มีค่ะ แต่ด้วยความที่มีน้อยกว่า มันทำให้เราสนใจโฟกัสชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติมากกว่า (เพราะอากาศดี น่าเดิน น่าออกมาทำ outdoor activities เช่น picnic) รวมไปถึงด้านการเรียนด้วยค่ะ นั่นหมายความว่าเราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่เองด้วย และสัมผัสความเป็นอังกฤษ รวมถึง English culture ด้วยค่ะ แต่เมืองก็จะมีความเงียบกว่าด้วย ถ้าน้องๆ คนไหนที่ไม่ชอบความเงียบ ๆ หน่อย ความวุ่นวายน้อย อาจจะไม่ถูกใจเมืองที่อยู่นอกลอนดอน และจะรู้สึกว่าไม่สนุกเลยก็เป็นได้ค่ะ
3. คอร์สเรียนภาษาของโรงเรียนที่สนใจ
ในลอนดอน
- โรงเรียนจำนวนมากในลอนดอนมีคอร์สเรียนและระดับเลเวลภาษาอังกฤษที่หลากหลายกว่ามากค่ะ เพราะว่าจำนวนนักเรียนที่เยอะ ทำให้ purposes ในการมาเรียนภาษาอังกฤษของโรงเรียนจะมีมากกว่า เช่น โรงเรียนในลอนดอนเปิดสอน Cambridge Exams ตั้งแต่เลเวล FCE (CEFR B2) จนถึง CPE (CEFR C2) และตัวคอร์สอื่น ๆ เช่น University Pathway ด้วย ส่วนโรงเรียนนอกลอนดอนอาจจะมี range ถึง CAE (CEFR C1) ค่ะ เท่ากับว่าบางทีถ้าเลเวลของน้อง ๆ สูงมากแล้วต้องการเตรียมตัวสอบต่อ บางทีคอร์สที่อยากเรียนในเมืองนอกลอนดอนก็อาจจะไม่มีก็ได้ค่ะ
และอีกอย่างนึงคือเรื่องการเปิดเรียนค่ะ ปกติ General English จะมีการรับนักเรียนเข้าใหม่ทุกสัปดาห์ เป็นปกติทั้งในและนอกลอนดอนค่ะ แต่ถ้าเป็นคอร์สพิเศษ เช่น การเตรียมตัวสอบ Cambridge Exams, IELTS หรือ Professional Certificates โรงเรียนในลอนดอนจะมีจำนวนวันเปิดที่มากกว่าค่ะ เพราะจำนวนเด็กนักเรียนเต็มเร็วกว่าและเขา มั่นใจว่ามีคนเรียนแน่นอน ทำให้น้อง ๆ มีตัวเลือกในการเริ่มเร็วหรือช้าตามความต้องการของน้อง ๆ ที่มากกว่าเช่นกันนะคะ แต่ข้อเสียก็คือบางทีจะมีนักเรียนเยอะมากคือเต็ม maximum ของคอร์สที่รับได้เลย อาจทำให้ความสนใจที่จะได้รับจากอาจารย์อาจน้อยลงไปอีกค่ะ
นอกลอนดอน
- ด้วยความที่จำนวนนักเรียนมีน้อยกว่า ส่วนมากบางทีจำนวนจะอยู่ที่ mimimum หรือจำนวนระดับปานกลางค่ะ ข้อดีที่ได้เป็นของแถมก็คืออาจารย์ที่มีความใส่ใจที่มากกว่าด้วยค่ะ แต่ข้อเสียก็คือบางคอร์สนั้นเปิดก็จริง แต่ English level ที่น้อง ๆ บางคนได้ที่อาจจะสูงกว่าหรือน้อยกว่า normal course ของเขา โรงเรียนก็อาจจะไม่เปิดเลเวลที่น้อง ๆ ต้องการก็เป็นได้ ทำให้อาจต้องเปลี่ยนไปเรียนคอร์สอื่นที่เหมาะสมกับเลเวลของน้อง ๆ แทนนั่นเองค่ะ เช่น น้อง ๆ บางคนเป็น Young Learners สมัครไปเรียนคอร์สนี้และอายุ 16 ปีพอดี แต่พอวัดระดับออกมากลับได้ระดับ Intermediate+ ซึ่งของ Young Leaners มีเพียงระดับ Intermediate อาจทำให้น้อง ๆ ต้องเข้าไปเรียน General English กับคลาสผู้ใหญ่แทนนั่นเองค่ะ หมายความว่า Topic จะมีความกว้าง กว่าและจะอิงการเรียนการสอนเกี่ยวกับการทำงาน (เพราะอายุเฉลี่ยของ General English มักเป็นคอร์สของผู้ใหญ่ค่ะ เพื่อน ๆ ในห้องก็จะมีอายุที่หลากหลาย อาจจะต่ำที่สุด 16 จนถึงมากที่สุด 40+ เลยก็ได้นะคะ แต่ส่วนมากจะอยู่กันที่ 22-28 ค่ะ)
4. ความหลากหลายด้านเชื้อชาติของเพื่อน ๆ ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
ด้วยความที่ไปเรียนภาษาอังกฤษ น้อง ๆ ก็ต้องอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุดและสื่อสารกันให้ได้มากที่สุด ใช่มั้ยล่ะคะ? ปัจจัยด้านนี้เป็นสิ่งที่ขาดไปจากการตัดสินใจไม่ได้เลยค่ะ
ในลอนดอน
- ความหลากหลายของเพื่อน ๆ จะมีจำนวนมากกว่าค่ะ เช่น บราซิล สวิส โคลอมเบีย อิตาเลียน ซาอุ คาซัค ตุรกี เป็นต้น จะเห็นได้เลยว่า diverse มาก ๆ ตั้งแต่ยุโรป ไปเอเชียนและคนละตินเลยค่ะ ปกติในห้องเรียนที่เรียนเนี่ยจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารอยู่แล้ว แต่ข้อเสียคือประมาณ 40% ของความหลากหลายนี้มักจะติดอยู่กับคนที่ใช้ภาษาแม่เดียวกันช่วงพัก หรือ hang out ค่ะ เช่น คนละตินพูดสเปนเหมือนกัน บางทีเขาก็จะเกาะกลุ่มกันเอง เพราะเขาใช้ภาษาเดียวกัน และวัฒนธรรมใกล้กัน ทำให้น้อง ๆ บางคนอาจจะไม่กล้าเข้าไปคุยเป็นภาษาอังกฤษด้วยนั่นเองค่ะ ส่วนคนยุโรปส่วนมากเขาก็ค่อนข้างหลีกเลี่ยงการพูดภาษาแม่นะคะ ก็คือจะเปิดรับคนที่พูดภาษาอังกฤษด้วยกันมากกว่า แต่บางทีเขาก็จะเลือกอยู่กับคนยุโรปเหมือนกันเพราะเข้าใจกันทางด้าน mutual cultures มากกว่า ส่วนคนเอเชียนบางทีก็จะติดอยู่ด้วยกันเองแต่พยายามใช้ภาษาอังกฤษเหมือนกันค่ะ (หรือภาษาที่ 3, 4, 5) แต่ข้อสังเกตคือถ้าเป็นคนเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ส่วนมากเขาจะสามารถสื่อสารกันได้ใน 3 ภาษานี้ค่ะ ที่พี่ในทีม Mango ที่เคยเข้าไปเรียนและสังเกตปฏิกิริยากันมา ได้เห็นมาคือคนญี่ปุ่นส่วนมากเข้าใจภาษาจีนค่ะ ทำให้เขาอาจจะพยายามคุยกันด้วยภาษาอื่นนอกจากภาษาอังกฤษ ส่วนคนเกาหลีและญี่ปุ่น 2 ชาตินี้ชอบอวยยศกันเรื่อง iconic ทางวัฒนธรรมเขาอย่าง J-Pop และ K-Pop นั่นเองค่ะ ส่วนคนไทย ถ้าเรียนในเมืองใหญ่คนไทยก็จะเยอะมากกว่านอกลอนดอนนะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ว่าน้อง ๆ เจอเพื่อนแบบไหนและเข้าหาเขาอย่างไรด้วยนะคะ
นอกลอนดอน
- ความหลากหลายก็ยังมีอยู่เช่นกันค่ะ แต่ด้วยความที่นักเรียนน้อยกว่า การเป็นเพื่อนกันจะตัดเรื่องการพูดภาษาแม่เดียวกัน หรือ culture/ความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมแบบใกล้เคียงกันออกไปค่ะ ก็คือด้วยความที่คนจากชาติเดียวกันหรือพูดภาษาแม่เดียวกันน้อยลง การจับกลุ่มคุยกันแบบการเรียนในลอนดอนก็น้อยลง ทำให้มีความจำเป็นที่ทุกคนต้องสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษค่ะ สนใจในด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษที่มากขึ้น ทำให้เกิด cross-cultural communication ด้วยค่ะ คือเป็นเพื่อนกันได้ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมจากสังคมเพื่อนในห้อง และวัฒนธรรม local จากคนในท้องถิ่นและ host family ด้วยค่ะ ทำให้น้อง ๆ จะได้รับประสบการณ์การฝึกภาษาอังกฤษจาก Native Speakers และ English as Second Language Learners อย่างแน่นอนค่ะ (การเรียนภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง คือน้อง ๆ ต้องสามารถเข้าใจได้ทั้งเจ้าของภาษาและ Other Language Speakers ได้ด้วยค่ะ)
5. เมืองที่เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียน และสภาพภูมิอากาศ
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่อากาศแปรปรวนมาก ๆ เลยค่ะ คือภายใน 1 วันอาจมี 3-4 ฤดูได้เลยทีเดียว ทั้งแดดออก สักพักฝนโปรยลงมา ตอนเย็นลมแรงและอากาศลดลงเร็วมาก นั่นหมายความว่าถ้าเป็นคนที่แพ้อากาศ หรือป่วยง่ายจากการที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงนั้นจะค่อนข้างส่งผลต่อการใช้ชีวิตที่นั่นมาก ๆ เลยแหละค่ะ ปกติแล้วในอังกฤษ ผู้คนมักจะซื้อเสื้อกันหนาวแบบที่สามารถกันได้ 3 อย่างคือ กันน้ำ กันลม และกันหนาวค่ะ ราคาเสื้อจะสูงหน่อยอยู่ที่ 6,000-10,000 บาท แล้วแต่ชนิดของผ้าที่น้อง ๆ เลือกค่ะ ที่อิต ๆ ก็จะเป็น The North Face ค่ะ นอกจากนี้ในตอนฤดูร้อน ฝุ่นละอองเกสรดอกไม้ที่อังกฤษจะค่อนข้างเยอะค่ะ (Pollen Allergies) บางคนจะป้องกันตัวเองโดยการสวมหน้ากากอนามัยค่ะ
ในลอนดอน
- ตอนนั้นที่ทีมของพี่ ๆ Mango ไป อากาศจะแปรปรวนมากเลยค่ะ คือตอนที่ไปลอนดอนตอนเช้าแดดออกปกติ พอตอนเที่ยง ๆ กำลังจะหาทานข้าวกลางวันฝนก็ตกลงมา (เรียกว่าเป็นแบบ shower ค่ะ คือตกแบบเหมือนอาบน้ำจากฝักบัว) พอทานข้าวเสร็จก็หยุดตก ฟ้ากลับมาสว่างอีก พอบ่าย 3 ฟ้าก็กลับมาครึ้มอีกแต่ฝนไม่ตกแล้ว ก็คือเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลยค่ะ เลยแนะนำว่าถ้าหากเลือกลอนดอน ไม่เหมาะกับคนที่จะไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันเท่าไหร่ค่ะ
นอกลอนดอน
- หนึ่งในทีมพี่ ๆ สมาชิกของทีม Mango เคยไปเรียนภาษาอังกฤษที่ Canterbury ค่ะ ตอนเช้าจะมีแสงแแดดอ่อน ๆ และหมอกลงค่อนข้างหนามาก อากาศเย็นแบบสวิงเหมือนกันค่ะ คือมีเช้าวันนึงตื่นมาหนาวมาก (ตื่นมาตอน 45) ดูอุณหภูมิคือ 1 องศาค่ะ พอแต่งตัวเสร็จ ทานข้าวเช้าเสร็จ ออกไปรอรถบัส อากาศคือดีดกลับมา 6-7 องศาแล้วค่ะ (ตอน 7.50) แต่ฝนตกน้อยกว่า ส่วนมากจะเย็นค่ะ แดดไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่ ไม่ได้ทำให้อุ่นขึ้นเลยค่ะ ส่วนถ้าน้อง ๆ บางคนชอบภูมิอากาศแนวชายทะเล พี่ ๆ ขอแนะนำ Brighton, Bournemouth เลยค่ะ อากาศดี วิวชายหาดสวยแต่ว่าลมก็แรงมาก ๆ เช่นกันนะคะ (ก็คือถ้าลมมาแรงมาก คนสามารถปลิวได้เลยค่ะ บางคนกลัวมากก็ไปยืนเกาะเสาเลยก็มีนะคะ ส่วนร่มก็คือโดนลมรูดขึ้นไปข้างบน ร่มพังได้เหมือนกันค่ะ อันนี้พูดจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่นนะคะ)
Tips: ตอนออกเดินทางจากประเทศไทย ถ้าน้อง ๆ กลัวว่าจะไม่สบายเพราะ common cold หรือเป็นหวัด แนะนำให้พกวิตามินซีแบบเม็ด 1000 MG เช่น Blackmores Vitamin Bio C 1000 MG ไปด้วยและทานวันละเม็ดก็ช่วยลดอัตราที่จะเป็นหวัดได้ดีเหมือนกันนะคะ และพกยาลดน้ำมูกหรือยาแก้ไอเผื่อไว้ก็ได้ค่ะ แต่ไม่ควรพกมาเยอะจนเกินไปนะคะ (เหมือนเอามาเผื่อก็พอค่ะ)
เป็นยังไงกันบ้างคะน้อง ๆ กับบทความที่พี่ ๆ Mango Learning Express นำมาฝากกัน?
ทางทีมฯ พี่ ๆ หวังว่า 5 ปัจจัยที่พี่ ๆ นำมาแชร์นั้น… จะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ในเรื่องการประกอบการตัดสินใจเพื่อหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษและเมืองที่เหมาะกับน้อง ๆ ในทุกด้านนะคะ ^^
ถ้าน้อง ๆ คนไหนสนใจอยากขอคำปรึกษากับทาง Mango สามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้เลยนะคะ โทร. 02-129-3313, 085-144-8808 หรือ LINE: @mangolearning